วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554
เทพนิยายแม่ศรีโภสพ
อธิบายหลักฐานความเป็นมาของต้นข้าว พิธีกรรมอันกระทำในท้องนา ตลอดจนคาถาอาคมอันคนโบราณเชื่อถือ และให้ทำพิธีในท้องนา แต่งขึ้นด้วยสำนวนเทศนาโวหาร มีความไพเราะดังเทพนิยาย
เทพนิยายแม่ศรีโภสพ
อันองค์นางแม่ศรีโภสพนพเก้านี้ เดิมที่เป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ ทรงนามว่านางสวเทวี เป็นสนมเอกขององค์สมเด็จอัมรินทราธิราช นางนี้มีผิวพรรณเป็นทองและมีกลิ่นพระวรกายหอมเหมือนเกษรดอกไม้ จึงได้รับหน้าที่เป็นเทพธิดาผู้รักษาสวนสวรรค์ สำหรับเก็บดอกไม้นำไปถวายสมเด็จอัมรินทราธิราช เพื่อให้พระองค์ได้ทรงบูชาพระรัตนตรัย ในวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ - ๑๕ ค่ำ
อยู่มาวันหนึ่ง ครั้นถึงวันอุโบสถปักขคณนา แม่เทพธิดาศรีโภสพเจ้า จึงเข้าไปสู่สวนสวรรค์เลือกเก็บพรรณบุปผาชาติ อันกำลังเบ่งบานตระการตา บรรจงจัดใส่ไว้ในพานทอง ทำให้วิจิตรสวยสดงดงามแล้ว นางแก้วก็ตกแต่งพระวรกายให้จำเริญตา เหาะเคลื่อนคล้อยลอยออกจากวิมานทองตรงไปสู่เวชยันตรมหาปราสาท อันองค์สมเด็จอัมรินทราธิราชประทับอยู่ เจ้าโฉมตรูจึงน้อมกายเข้าไปกราบถวายบังคม แล้วทูลถวายพานดอกไม้ดังเคยมา
อถโข สกโก เทวราชา ครั้งนั้นแล สมเด็จพระอัมรินทราธิราช พระบาทท้าวเธอได้ทรงเพ่งพระเนตรดูองค์นางแม่ศรีโภสพนพเก้า ได้ทรงพิจารณาเห็นผิวพรรณของนางนั้นเศร้าหมอง จึงตรัสบอกแก่นางน้องว่า ภทเท ดูก่อนเจ้าผู้มีพักตร์ผ่องเพียงดังเพ็ญจันทร์ กึนุโข กระไรหนอน้องผิวทองของเจ้าจึงเศร้านัก ขอน้องรักพึงทราบเถิดว่า บุญกุศลอันดลบันดาลให้เจ้าได้เกิดมาเป็นนางสวรรค์นี้กำลังจะหมดไปแล้ว ขอให้น้องแก้วเร่งแสวงบุญเสียใหม่ ถ้ามิฉะนั้นจะมิได้อยู่บนสวรรค์ด้วยกัน
อถ สา โภสวเทวธีดา ครั้งนั้นแล แม่เทพธิดาศรีโภสพเจ้าได้ฟังมูลเค้าคดีอันจะมีแก่นางแล้ว นางแก้วก็หาได้หวั่นไหวหรือตระหนกพระทัยไม่ ด้วยนางได้เคยพิจารณาสังขารอยู่มิได้ขาดตกอยู่ในความไม่ประมาทเสมอมา เจ้าขวัญตาจึงทูลถามขึ้นว่า เทวราช ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าจอมทัพแห่งเทพเจ้า เมื่อเหตุเกิดขึ้นเช่นนี้เล่า สมเด็จพระจอมเกล้าจะให้้หม่อมฉันทำอย่างไร ท้าวสหัสสนัยจึงตรัสว่า ไม่ยากดอกน้อง ในสมัยที่เจ้ารูปทองยังเป็นมนุษย์ เรามีจิตใจใสบริสุทธิ์เป็นอันมาก ได้เคยบริจาคผ้าผ่อนแพรพรรณแก่ชาวโลกเขา บุญจึงส่งให้ได้มาเกิดเป็นนางฟ้าที่มีผิวพรรณเป็นทอง แต่เดี๋ยวนี้บุญของน้องกำลังจะหมดไปแล้ว ขอเชิญน้องแก้วจงเร่งลงไปแสวงบุญเสียใหม่ แต่การลงไปครั้งนี้เจ้าไม่ต้องให้ผ้าผ่อนแพรพรรณอีกแล้ว ขอเชิญน้องแก้วแม่จงเสียสละเนื้อหนังมังสาอันเป็นทองของเจ้านี้ให้แก่ชาวโลกผู้อดอยาก เมื่อเขาได้กินเนื้อหนังมังสาของเจ้าแล้ว จักได้มีอายุยืนนานสืบเผ่าพันธุ์ ลูกหลานต่อไป
แม่โภสพรับคำของพระอิทนร์แล้ว นางแก้วก็ถวายบังคมลา เหาะเคลื่อนคล้อยลอยฟ้ากลับไปสู่สวนสวรรค์ เจ้าแจ่มจันทร์เลือกเก็บดอกมณฆาทิพย์ในสวนสวรรค์ ครั้นได้เต็มสองอ้อมแขนของนางแล้ว นางแก้วจึงเหาะเคลื่อนลอยลงจากฟากฟ้าสวรรค์ตรงไปสู่ป่าหิมพานต์ อันเป็นที่อยู่ของพระฤาษีประไลยโกฎิ ด้วยความปรารถนาจะขอพึ่งใบบุญของพระฤาษีให้ช่วยนางเลี้ยงโลก แต่ในขณะที่นางเหาะลงไปถึงนั้น เป็นเวลาที่พระฤาษีกำลังเข้าฌานเจริญเตโชสมาบัติ ด้วยพระฤาษีประไลยโกฎินี้ มีปกตินั่งหลับอยู่ตลอดกาล จะลืมตาครั้งเดียวเท่านั้นในปีหนึ่ง คือเมื่อถึงฤดูดอกไม้ในป่าหิมพานต์บาน ฤาษีจะออกจากฌานแล้วลืมตาถ้ายังมิได้ออกจากฌานลืมตาเมื่อใดไฟจะลุกออกจากดวกตาไหม้ป่าหิมพานต์หมด พวกเทพยดา อสุรีคนธรรพ์ จึงขนานนามฤาษีนี้ว่า พระฤาษีตาไฟ
ในขณะที่นางแม่โภสพนพเก้าเหาะลงไปถึงพระฤาษีนั้น เป็นเวลาที่พระฤาษีกำลังเข้าฌาน นางจึงเหาะเวียนขวา ๓ รอบ ทำปทักษิณพระฤาษีด้วยความเคารพ แต่เพราะเหตุที่กลิ่นกายนางหอมและดอกไม้สวรรค์ที่นางอุ้มไปก็หอมด้วย กลิ่นหอมจึงโชยตามลมไปกระทบฤาษี พระฤาษีนั่งหลับตาอยู่เมื่อได้กลิ่นดอกไม้ จึงนึกอยู่แต่ในใจว่า เอ! ดอกไม้อะไร หนอ! บาน ฤดูนี้ในป่าหิมพานต์ก็ไม่เคยเห็นมีดอกอะไรบานเลย มันหอมดอกอะไร? เมื่อแม่โภสพเหาะวนขวา ๓ รอบแล้ว นางแก้วจึงนอบกายคลานเข้าไปตรงหน้าพระฤาษีวางดอกไม้ลงประนมมือก้มเศียรลงกราบ โดยเหตุที่กลิ่นกายของนางหอมดังกล่าวแล้ว และดอกไม้สวรรค์ก็หอมด้วย เมื่อเข้าไปอยู่ใกล้เฉพาะหน้าฤาษี กลิ่นนั้นจึงหอมแรงเข้าไปกระทบจมูกของท่านพระฤาษีจึงพลันลืมตาโดยที่ยังไม่ได้ออกฌาน ด้วยอำนาจแต่โชสมาบัติ จึงบังเกิดเป็นไฟประไลยกัลป์ลุกออกจากดวงตา ไหม้เผาผลาญองค์แม่ศรีโภสพนพเก้าพร้อมด้วยดอกไม้ ให้กลายเป็นขี้เถ้าหล่นกองอยู่ตรงหน้า
พระฤาษีจึงออกจากฌาณ นั่งมองดูกองขี้เถ้าด้วยความสงสาร นึกอยู่แต่ในใจว่า อโห วต โอ! หนอ ใครมันมาหาเรา อนิจจาน่าสงสาร ยังไม่ทันได้พูดกันคำหนึ่งเลยตายเสียแล้ว อย่าเลยเราจะลองชุบขึ้นมา เขาคงจะเดือดร้อน ถ้าฉะนั้นแล้วก็คงไม่มาหาเรา ท่านจึงหยิบเอาคณโฑน้ำทิพยมนต์ลงมาไว้ในมือ ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าผู้ใดมาหาข้าพเจ้าขอให้ฟื้นคืนกายขึ้นมาเถิด ว่าแล้วก็รดน้ำมนต์ลงไปบนกองขี้เถ้านั้น ก็พลันบังเกิดเป็นกอข้าวตั้งขึ้นมา แตกดอกออกรวงเหลืองอร่ามแต่มีอยู่เมล็ดเดียวใหญ่เท่าลูกฟัก ในพระคัมภีร์มหาภารตะอันเป็นรากเง่าของคัมภีร์ไตรเพทเพทางค์กล่าวไว้ว่า ข้าวเมล็ดนั้น อฏฐงคาวุตต มีความกว้าง ๘ นิ้ว โสฬสงคาวุตต มีความยาว ๑๖ นิ้ว นับว่าใหญ่โตกว่าเมล็ดข้าวในปัจจุบันทุกวันนี้มาก พระฤาษีนั่งมองดูกอข้าวด้วยความสงสัย คำนึงคิดดูอยู่แต่ในใจว่านี่มันเป็นเหตุอันใดหนอ! เมื่อเราลืมตามองเห็นแวบหนึ่งว่ามันเป็นผู้หญิง แต่ไฉนเมื่อชุบขึ้นมาแล้วจึงกลายเป็นต้นหญ้าไป และหญ้าอย่างนี้ก็ไม่เคยเห็นมีในป่าหิมพานต์นี้เลย นี่มันเป็นต้นอะไรหนอ! หรือว่าคาถาอาคมและตะบะฌานนี้เสื่อม
ความจริงแม่โภสพนั้นมิได้ตาย ด้วยเหตุที่นางเป็นเทพธิดาย่อมมีวิญญาณอันเป็นทิพย์ จะไม่มีอาวุธใดๆ ประหัตประหารให้นางตายได้ นอกจากจะจุติเองเพราะหมดบุญนางจึงไม่ตายด้วยอำนาจไฟเผาผลาญนั้น แต่เพราะเหตุที่นางต้องการจะเลี้ยงโลก จะเนรมิตตนเองเป็นต้นข้าว เพื่อจะถวายรวงทองของนางนั้นให้แก่ฤาษี เมื่อนางมองเห็นพระฤาษีนั่งตะลึงเฉยในท่าคำนึงคิดอยู่เช่นนั้น นางจึงคืนร่างกายออกจากกอข้าวกลายเป็นเทพธิดาเข้ามาก้มกราบพระฤาษีแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าเจ้านี้เป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ ชื่อโภสวเทวี เป็นสนมเอกขององค์อัมรินทร์ทราธิราช แต่บัดนี้จะหมดบุญ พระอินทร์ตรัสใช้ให้ลงมาเลี้ยงโลก แต่ข้าเจ้ามีบุญน้องฤทธาศักดานุภาพก็น้อยด้วย ใคร่จะมาขอกราบเท้าเจ้าประคุณกรุณาโปรดเอ็นดูช่วยชาวโลก ข้าพเจ้าขอถวายเม็ดรวงทองข้าพเจ้านี้แก่พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดแจกจ่ายแก่ชาวโลกเพื่อเป็นอาหาร เขาได้รับประทานเมล็ดรวงทองอันเป็นเหมือนเนื้อหนังมังสาของข้าพเจ้า จักได้สืบลูกหลานต่อไป
พระฤาษีจึงว่า เออดีทีเดียวแม่เทพธิดา ความคิดของเธอดีมาก ฉันขอสรรเสริญเมตตาจิตของเธอยิ่งนัก แต่ก็ยังรู้สึกหนักใจว่า อันเมล็ดรวงทองอะไรของเธอนี้ ดูมันใหญ่โตเหลือเกิน เกรงจะลำบากแก่ชาวโลก เราจะจัดสรรปันส่วนเสียใหม่เธอจะเอาหรือไม่ แม่โภสพจึงว่า สุดแต่พระคุณเจ้าเถิด ข้าพเจ้าถวายเป็นสิทธิ์ขาดแก่พระคุณเจ้าแล้ว จะทำอย่างไรก็นิมนต์เถิด พระฤาษีจึงว่า ถ้าอย่างนั้น ขอเชิญแม่เทพธิดาศรีโภสพเจ้า จงคืนร่างเข้าสู่ต้นข้าว จักได้เป็นเทพเจ้าช่วยกันรักษาไร่นาสืบไป แม่ศรีโภสพจึงคืนร่างเข้าสู่ต้นข้าวกลายเป็นเทพเจ้ารักษาท้องนามาจนกระทั่งทุกวันนี้
เมื่อแม่โภสพเข้าไปสถิตประจำกอข้าวแล้ว พระฤาษีจึงหยิบเอาไม้เท้าอันเรืองฤทธิ์เข้ามาไว้ในมือ พลางอธิษฐานว่า ขอเดชะ หากบุญญาภิสมภารอันข้าพเจ้าได้จำศีลภาวนามานับเป็นเวลาหลายหมื่นปี บุญอันนี้ขอข้าพเจ้าหากจะได้สร้างคู่กับแม่ศรีโภสพนี้บ้างก็ขอให้ไม้เท้าอันข้าพเจ้าจะตีลงไปบนเมล็ดข้าวนี้ จงสำแดงฤทธิ์ให้แตกกระจายเถิด เมื่อสิ้นคำอธิษฐานแล้ว ท่านจึงเงื้อไม้ไล่ตีลงไปบนเมล็ดข้าวนั้น ด้วยแรงอธิษฐานเมล็ดข้าวนั้นก็แตกกระจายเป็นแมลงเม่าปลิวไปตกทั่วภาคพื้นแผ่นดิน มนุษย์เราจึงเก็บทำพืชพันธุ์ ธัญญาหารเลี้ยงลูกหลานมาจนกระทั่งวันนี้
บุญคุณของแม่โภสพนี้ จึงมีแก่พวกเราเหลือล้นพ้นคณา วันไหนเรามิได้กินเนื้อหนังมังสาของท่าน ก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด นับจากนับที่เราจากหัวนมแม่มาก็ใครเล่าเลี้ยงเรามาจนทุกวันนี้ มิใช่แม่โภสพดอกหรือ เหตุไฉนท่านเป็นมนุษย์โดยเฉพาะท่านเป็นชาวนา ทำไมไม่บูชาแม่โภสพเล่า ไร่นาของท่านจะเจริญได้อย่างไร อย่าว่าแต่ท่านซึ่งเป็นชาวนาจะต้องบูชาแม่โภสพ แม้แต่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ยังทรงบูชาแม่โภสพทุกๆ ปี พอถึงเดืนอ ๖ ทรงทำพิธีแรกนาขวัญ นั่นคือพิธีวิงวอนแม่โภสพ ที่เราเรียกกันว่า วันพืชมงคล รัฐบาลหยุดงานหนึ่งวัน สถานที่ราชการปิดหมดทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนได้ทำพิธีบูชาแม่โภสพ อย่าว่าแต่พระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองประเทศจะทรงบูชาแม่โภสพเลย แม้แต่เทวดาบนฟ้ายังคงต้องบูชาให้ความเคารพนบไหว้แม่โภสพ คงจะเห็นได้ว่าในฤดูแล้งอันเป็นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว เดือน ๔-๕-๖ ดวงตะวันหรือด้วยอาทิตย์เทพเจ้า จะเด่นดวงขึ้นทางตะวันออกในเวลาเช้า และลอยข้ามท้องฟ้าไปตกลับดวงทางตะวันตกเป็นนิจสินเสมอมา แต่ในฤดูเดือน ๑๐ เดือน ๑๑ อันเป็นฤดูที่ข้าวในนาของเราตั้งท้อง ท่านเคยเห็นดวงอาทิตย์ลอยข้ามฟากฟ้ามีบ้างไหม ท่านจะไม่เคยได้เห็นเลย พอดวงตะวันโผล่ออกมาจากขอบฟ้าตามปกติแล้ว สายส่องแรงกล้าสักหน่อยหนึ่งก็จะลอยอ้อมท้องฟ้า ไม่กล้าลอยผ่านในทางที่เคยมาเพราะเกรงใจแม่โภสพกำลังตั้งท้อง ซึ่งเราเรียกกันว่าตะวันอ้อมข้าวมองเห็นตำตากันอยู่ทุกคน เพราะฉะนั้นท่านเป็นชาวนาจงเร่งบูชาแม่โภสพกันเถิด แม่เทพธิดาผู้มากไปด้วยความปรานีองค์นี้จะได้ช่วยเรา ให้ได้ข้าวในนาสมบูรณ์ พึงคิดถึงบุญคุณแม่โภสพ และทำให้ถูกต้องตามตำหรับตำราซึ่งมีมาแต่โบราณกาลอันได้รวบรวมไว้ในพระคัมภีร์นี้แล้ว ขอความสุขขอความเจริญจงมีแด่ท่านผู้ที่บูชาแม่โภสพ จงทั่วทุกๆ ท่านเทอญ
การแรกไถนา
เมื่อวันวันแรกไถนา ให้จัดไถเทียมควาย แล้วนอนไถไว้กับพื้นนา นั่งลงประนมมือกว่าวคำฝากแม่พระธรณีว่า แม่พระธรณีเจ้าค่าเอ๋ย อยู่แล้วรึยัง ยังสังขาตัง โลกัง กะวิทู ขอพระแม่เจ้าจงรู้ ข้าขอฝากพืชพันธุ์ ธัญญาหารไว้กับพระแม่เจ้าในวันนี้ ขะมะตุเม โทสัง เสร็จแล้วจึงจับหางไถ ทำสัญญาณให้ควายเดิน เมื่อไถเวียนไปครบ ๓ รอบแล้ว ให้นอนไถไว้กับท้องนาปล่อยควายออกจากไถ เลิกไม่ไถอีกในวันนี้ การทำดังนี้เรียกว่า ทำปทักษิณ ขอขมาแม่ธรณี ใครทำได้ดังนี้จะเจริญสุขร่ำรวยดีนักแล
การแรกหว่าน
โบราณท่านว่า วันแรกไถ คือวันอาทิตย์ แต่วันแรกหว่าน ท่านใช้วันจันทร์ เพราะฉะนั้นพอถึงวันจันทร์ให้เตรียมข้าวปลูกที่หว่านกล้าก็ดี ใส่กระบุงออกมาให้พ้นชายคาอัญเชิญแม่โภสพมาวางในกระบุงข้าวปลูก หาน้ำอบน้ำหอมมาพรม จุดธูป ๓ ดอก ปักไว้ในข้าว แล้วกล่าวคำอัญเชิญว่า ข้าแต่พระศรีโภสพเจ้า วันนี้เล่าเป็นวันดีขอเชิญแม่ศรีไปสู่ท้องนา ข้าขอขมาต่อแม่ศรีโภสพ แล้วว่าคาถา คาโว ตัสสะ ปะชายันติ เขตเต วุตตัง วิรูหะติ วุตตานัง ผะละมัสนาติ โยมิตตานัง นะทุพภะติ เสร็จแล้วยกองค์แม่โภสพกลับคืนไปหิ้งบูชาอย่างเดิม จึงเอาข้าวปลูกไปหว่านในนา ใครทำได้ดังนี้ข้าวในนาจะมีลำต้นแข็งแรงแตกดอกออกรวงดีนักแล
การทำขวัญข้าวเมื่อข้าวตั้งท้อง
สิทธิการิยะ เมื่อข้าวในนาของเราตั้งท้องแล้ว ท่านก็ให้กำหนดเอา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันทำขวัญข้าว วันนั้นเป็นวันพระออกพรรษา โบราณว่าเป็นวันที่แม่โภสพแพ้ท้อง
ผู้จะทำขวัญข้าว ต้องไปเก็บผลไม้ที่ใส่บาตรพระในวันนั้น จะเป็นส้มเป็นกล้วยก็ได้ แต่ไม่ให้เก็บเอาขนมหรือข้าวต้มเพราะแม่โภสพไม่กินเนื้อของตนเอง เมื่อได้ของต้องประสงค์แล้ว ให้หาชะลอมลูกน้อยๆ ใส่ของเหล่านี้ ทำธงแดงธงขาวด้วยกระดาษอย่างละอันด้ายแดงด้ายขาวอย่างละเส้น ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม เมื่อจัดของเสร็จแล้วให้เชิญองค์แม่โภสพจากหิ้งบูชา อุ้มไปสู่ท้องนา เมื่อถึงแล้วให้เลือกกอข้าวใหญ่ๆ งามๆ สัก ๑ กอหาไม้มาปักข้างๆ กอข้าว เอาด้ายแดงด้ายขาวผูกกอข้าวติดกับไม้ เอาชะลอมผูกปลายไม้ ปักธงแดงธงขาวไว้ข้างๆ กอข้าวทั้งสองข้าง หาอะไรมาตั้งองค์แม่โภสพแล้วจุดธูปเทียนปักไว้ตรงหน้า แล้วกล่าวคำขวัญข้าวว่า ศรี ศรี มินีมานะ อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ มาเส มาเส ข้าพเจ้าจะขออัญเชิญคุณแม่พระโภสพ ๔๙ คุณพระพุทธเจ้า ๕๖ คุณพระธรรมเจ้า ๓๘ คุณพระอริยสงฆ์เจ้า ๑๔ ขออัญเชิญแม่ศรีโภสพนพเก้า เชิญแม่มารับเครื่องสังเวยซึ่งเคยมีมาแต่ครั้งฤาษีประไลยโกฎิ พระคุณของแม่เคยโปรดสัตว์โลกทั่วหน้า ให้อุดมด้วยภักษาหาร เชิญแม่มารับประทานในวันนี้ ลูกจัดพิธีมาพร้อมแล้ว ขอเชิญองค์แม่โภสพกลับบ้าน เสร็จแล้วประฌมมือนบนิ้วไหว้ ๓ ครั้ง อัญเชิญแม่โภสพกลับบ้าน
การเกี่ยวข้าว
สิทธิการริยะ เมื่อข้าวออกรวงเหลืองอร่ามถึงคราวจะเก็บเกี่ยวแล้ว ก่อนจะออกจากบ้านให้นำเคียวทั้งหมดไปวางไว้หน้าองค์แม่โภสพ แล้วกล่าวคำขอขมาว่า อมมะ โภสะวะเทวี ขะมะตุเม โทสัง ข้าแต่แม่ศรีโภสพเจ้า วันนี้เล่าลูกจะไปเกี่ยวเก็บเอารวงทองของแม่เจ้า ขอแม่อย่าโกรธอย่าได้ลงโทษลูกเลย เสร็จแล้วให้ถือเคียวออกไปนา เมื่อจะเกี่ยวให้ประฌมมือไหว้ ใช้มือซ้ายจับต้นข้าว มือขวาจับเคียว ให้กลั้นใจกล่าวคำว่า อมมะ โภสะวะเทวี ขะมะตุเม โทสัง แล้วจึงเกี่ยว ใครทำได้ดังนี้ ท่านว่าแม่โภสพจะรักษาตัวท่านให้พ้นจากสัตว์ร้ายนานา ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
การเก็บข้าวเข้ายุ้งฉาง
เมื่อนวดข้าวเสร็จแล้ว จะนำไปสู่ยุ้งฉาง ให้เลือกเอาวันพฤหัสบดี เมื่อเก็บข้าวไปไว้ในยุ้งฉางแล้ว ห้ามมิให้ตัดออก จนกว่าจะได้ทำขวัญข้าว หรือแม้เมื่อทำขวัญข้าวแล้วก็ห้ามมิให้ตักข้าว ไม่ว่าจะตักขาย หรือตักเอาใส่สีไปกินก็ตาม ห้ามเป็นอันขาด เพราะโบราณถือกันว่า ขวัญของแม่โภสพตกอยู่ในท้องไร่ท้องนา เพราะห่วงลำต้น อนึ่ง ท่านกล่าวว่า แม่โภสพ เกิดวันอาทิตย์ จึงห้ามตักข้าวในวันนั้น พิธีทำขวัญแม่โภสพให้ทำดังนี้ จัดทำบายสีปากชาม ๑ ที่ เทียน ๑ เล่ม ธูป ๕ ดอก ดอกไม้ ๓ สี ขาว เหลือง แดง หมาก ๑ คำ เครื่องแก้ว แหวน เงิน ทอง ตามแต่จะหาได้ กล้วย อ้อย ผลไม้ต่างๆ กระบอกน้ำเล็กๆ ๒ กระบอก กระบอกหนึ่งใส่น้ำมะพร้าวอ่อน อีกกระบอกหนึ่งใส่น้ำธรรมดา ปั้นรูป เต่า ปู ปลา หอยโข่ง กบ แล้วอัญเชิญองค์แม่โภสพลงในถาด หรือกระบุง เอาของที่จัดแล้วทั้งหมดใส่ลงไปด้วย ให้เอาขอฉาย(ไม้สำหรับเขี่ยฟาง) ทำเป็นคานใช้ผ้า ๓ สี คือ ๑ สีกาบบัว ๒ สีเหลือง ๓ สีขาว พาดคลุมหัวขอฉาย หาบหรือคอนไปสู่ท้องนา เมื่อไปถึงแล้วให้หาอะไรมาตั้งองค์แม่โภสพ เอาของต่างๆ วางไว้ข้างหน้า จุดธูปเทียนประฌมมือ กล่าวคำเรียกขวัญว่า
คำเชิญขวัญข้าว
ศรี ศรี วันนี้เป็นวันดี ลูกขอน้อมเกศี อัญเชิญคุณของแม่โภสพ เชิญคุณของแม่มารวบรวมบรรจบให้ครบถ้วน พระคุณของแม่ทั้งมวลจงมาช่วยเลี้ยงลูกในเคหา ขวัญของแม่ตกอยู่ในหย่อมหญ้าริมลำธาร ขวัญของแม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยเปือกตมจมโคลนถูกลมพัดต้นหักโค่นขาดสลาย ขวัญของแม่กระจายด้วยลมพระพายมาพดพานถูกน้ำซัดเที่ยวเร่ร่อน เชิญแม่ทองเนื้ออ่อน แม่กลับมาชมพวงเงินพวงทองและแก้วแหวนขวัญของแม่นับหมื่นแสน เชิญเสด็จมารวมกันเถิดหนา แม่ทูลกระหม่อมแก้ว ลูดจักเครื่องสังเวยมารับแล้วพร้อมด้วยบริวารอนมีศรี เชิญแม่ช่อมาลีสีจำปาสง่างาม ขวัญของแม่อย่าเข็ดขาม ขอจงเสด็จลงมาตามเสียงลูกเรียกหา
(โห่ ๓ ครั้ง) ศรี ศรี มามามิมิ อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ แม่ทูลกระหม่อม จอมเกล้าของลูกเอย ขวัญของแม่อย่าหลงใหลไปไกล เชิญแม่เสด็จมาชมบายศรี เครื่องบัตรพลีที่ลูกจัดไว้ ผ้าสีทองงามผ่องใสขอเชิญทรงสไบทิพย์ภูษา ทั้งแก้วแหวนเงินทองของมีค่าลูกจัดมารับพร้อมเสร็จ ขอเชิญขวัญเสด็จลงมาสู่ที่สำอางทั้งอาหารและน้ำสรง ลูกบรรจงจัดให้สวย ขวัญของแม่อย่าช้าเลย เชิญเสวยให้สบาย
เสร็จแล้วเก็บเม็ดข้าวที่ร่วงหล่นในท้องนาสักเล็กน้อยใส่กระบุง เอาแม่โภสพวางลงเอาขอฉายทำคานหาบ เอามาวางไว้ในยุ้งให้ครบ ๗ วัน แล้วจึงเชิญองค์แม่โภสพไปไว้หิ้งบูชา ต่อจากนั้นจึงจะตักข้าวไปขายหรือไปดำไปสีอย่างใดก็ได้ แต่เวลาจะตักอย่าไปตักวันอาทิตย์ ใครทำได้ดังนี้แม่โภสพจะเลี้ยงรักษาให้มีความสุขความเจริญ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย จะค้าขายอะไรก็ได้มรรคได้ผลสมความปรารถนาแล.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น